เปิดตัว MG GS รถ SUV ขนาดกลาง (C-SUV) แนวสปอร์ท ภายใต้แนวคิด "Follow No Others" ชูจุดเด่นด้านงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาคู่แข่ง ระบบความปลอดภัย Synchronized Protection System และระบบเชื่อมต่อ Inkanet พร้อมระบบโทรเข้า-ออก
MG GS แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ 2.0T D 2WD ราคา 1.21 ล้านบาท และ 2.0T X AWD ราคา 1.31 ล้านบาท ติดตั้งเครื่องยนต์แบบเดียวกัน แต่ต่างกันที่ระบบขับเคลื่อน และออพชันบางรายการ
MG GS ถูกออกแบบขึ้นที่ UK Technical Center เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ กับคอนเซปท์การออกแบบ Diamond Flow Design ที่เน้นมุมเหลี่ยมตามจุดต่างๆ ของรถ เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเห็นรถคันนี้จากภาพในอินเทอร์เนท และรถแนวคิด MG GS Concept ที่ถูกนำมาจัดแสดงในงาน MOTOR EXPO 2015 ที่ผ่านมา มิติตัวถังภายนอก ยาว 4,500 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,675-1,699 มม. ระยะฐานล้อ 2,650 มม. โดยรวมแล้วถือว่ามีขนาดเล็กกว่า C-SUV รุ่นอื่นๆ เล็กน้อย แต่ยังใหญ่กว่า B-SUV ทุกรุ่น ถือว่าเป็นรถที่ก้ำกึ่งระหว่างทั้งสอง Segment อุปกรณ์ภายนอกของแต่ละรุ่นย่อยประกอบด้วย
2.0T D 2WD
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ หลอดฮาโลเจน
- ระบบปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ อัตโนมัติ
- ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน
- ไฟตัดหมอกหน้า และหลัง
- ไฟท้าย และไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED
- กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
- ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
- ระบบปัดน้ำฝนด้านหลัง
- ปลายท่อไอเสียโครเมียม
- ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ยางขนาด 235/50 R18
2.0T X AWD
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ หลอด HID
- ราวหลังคา
- ซันรูฟปรับไฟฟ้า
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีดำ รายละเอียดการตกแต่งในหลายจุดเป็นทรงเหลี่ยม รับกับงานออกแบบภายนอก แผงแดชบอร์ด และคอนโซลกลางใช้วัสดุ Piano Black ที่ดูหรูหรา และพลาสติกที่ให้ผิวสัมผัสที่ดี แม้ว่างานออกแบบโดยรวมจะไม่ได้ล้ำสมัยสักเท่าไหร่ แต่เทคโนโลยีที่อยู่ภายในนั้น ให้มามากกว่าที่คิด
- เบาะหนังแท้ และหนังสังเคราะห์
- พวงมาลัยหุ้มหนัง ปรับระดับ 4 ทิศทาง
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
- เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
- เบาะนั่งด้านหลังปรับเอนได้ พนักพิงพับได้ 60:40
- เบาะนั่งด้านหลังปรับเอนได้
- หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ
- กระจกไฟฟ้า One Touch ด้านคนขับ
- กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
- ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
- ช่องจ่ายไฟ 12V ที่ห้องเก็บสัมภาระตอนท้าย
- Keyless Entry+Push Start
- ไฟส่องแผนที่
- พวงมาลัย Multifunction ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
- ลำโพง 8 จุด
- ระบบนำทาง
- ระบบ Inkanet
- หน้าจอสีระบบสัมผัส 8 นิ้ว
- หน่วยความจำ 16 GB
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ
- ช่องเชื่อมต่อ AUX และ USB
- เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
- Paddle Shift
ถือเป็นอีกหนึ่งไม้เด็ดที่ MG ได้ฝากความหวังเอาไว้ คือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร GDI (Gasoline Direct Injection) พร้อมระบบช่วยอัดอากาศ Turbo TGI-TECH รีดกำลังสูงสุดได้มากถึง 218 แรงม้า ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 2,500-4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบคลัทช์คู่ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ถูกเคลมเอาไว้ที่ 8.2 วินาที รองรับน้ำมันได้สูงสุดถึง E85 ปล่อยไอเสียเฉลี่ย 194 กรัม/กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 12 กิโลเมตร/ลิตร
สำหรับรุ่น 2.0T D 2WD จะเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนรุ่น 2.0T X AWD จะใช้ระบบขับเคลื่อน Intelligent All Wheel Drive (AWD) โดยระบบจะเปลี่ยนการขับเคลื่อนตามสภาพถนนโดยอัตโนมัติ
- ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF
- ระบบเบรค ABS EBD และ EBA
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS
- ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างเฉียบพลัน MSR
- ระบบควบคุมการเบรคในขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS
- ระบบ Auto Vehicle Hold
- ระบบเบรคมือไฟฟ้า
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ระบบลอคประตูอัตโนมัติ
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
- พวงมาลัยยุบตัวเมื่อเกิดการชน
- กล้องมองหลัง
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
ทั้งสองรุ่นย่อยมีราคาต่างกันอยู่ 1 แสนบาท โดยรวมแล้วอุปกรณ์มาตรฐานมีความใกล้เคียงกันอย่างมาก โดยเฉพาะระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้เต็มกัดทั้งสองรุ่น ระบบความบันเทิงที่ให้มาอย่างเท่าเทียมไม่มีใครด้อยกว่าใคร และที่สำคัญที่สุด เครื่องยนต์ที่คาดว่าจะให้ความแรงสะใจ แบบที่คู่แข่งยากที่จะเทียบเคียง แม้กระทั่งรถยุโรปยังต้องมีฆ้อน แต่ก็คาดว่าจะแลกมากับอัตราสิ้นเปลืองที่สูงตามพละกำลังเครื่องยนต์
Follow Motor Expo Club Network